เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ก.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ธรรมเป็นทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง เราให้สติปัญญากันไง ให้สติปัญญา ให้แก้ไขปัญหาชีวิต ให้แก้ไขความขุ่นข้องหมองใจของตน นี่ให้ธรรมเป็นทานให้ธรรมเป็นทานไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรียบง่ายมากนะ ละชั่วทำดี ทำจิตใจให้ผ่องแผ้วเท่านี้ แต่เวลาล่วงเลยมาเป็นคำสอนเห็นไหม หลากหลายมาก พอทำนะประสาเรา เพราะเราไม่เข้าใจ เพราะเราลังเลสงสัย เราทำสิ่งใดเลยงุ่มๆ ง่ามๆ ไงพองุ่มๆ ง่ามๆ เขาศึกษาทฤษฎีสิ่งใดขึ้นมาเราก็เชื่อๆๆไปไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราทำความสงบของใจ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ละชั่วทำดี ละชั่วทำดีละความชั่วของเราถ้าความชั่วในใจของเรา เราละมันๆ ละมันไม่ได้ไง แต่ความเห็นผิดๆ ไง ความเห็นผิดของเรา เราก็คิดว่าความดีเป็นความชั่ว ความชั่วเป็นความดีไง เราไปมองอย่างนั้นไง เราไปมองตรงข้ามหมดเลย อะไรที่เป็นผลประโยชน์ เป็นความดี อะไรที่เป็นการเสียสละ อะไรที่เป็นประโยชน์สังคม มันขัดผลประโยชน์ของเรา นี่ไง เราไปมองข้ามหมดเลย มันเป็นมายาภาพมารยาสาไถย พอมารยามันเกิดที่ไหนล่ะ มารยามันเกิดจากหัวใจของเราไง

จิตใจของคนที่มีวุฒิภาวะที่สูงส่ง เขาเห็นความดีที่ละเอียดลึกซึ้งความดี มีน้ำใจต่อกันนี่ นั่งเฉยๆ แต่มีน้ำใจระลึกถึงกันเห็นไหม ไอ้น้ำใจๆนี่แหละสำคัญมากที่สุดเลย ถ้ามีน้ำใจแล้วนะ ทำสิ่งใดกระทบกระเทือนกันเล็กๆ น้อยๆ มันมองข้ามหมดล่ะ แต่ถ้ามันมีมารยาสาไถยนะ มันนั่งอยู่แล้วมันขวางเขาไปหมดเลยแล้วอะไรไม่ได้ไปทั้งนั้น อะไรติดขัดไปทั้งหมด ทำสิ่งใด แต่ถ้ามันมีน้ำใจต่อกันทำสิ่งใดเรียบง่ายเห็นไหม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้เชื่อกรรมนะ เชื่อการกระทำ พอกรรมแล้วเราคิดแต่กรรมชั่วๆ ไง ทุกคนเวลาตกทุกข์ได้ยากบอกว่ากรรมของเราๆ

แล้วกรรมดีไม่มีเลยหรือ เราไม่ทำความดีไว้บ้างเลยใช่ไหม กรรมคือการกระทำไง ละชั่วทำดีๆ นี่คือกรรม คือการกระทำ คือกรรมของเรานี่แหละ เราทำกรรมของเรา เราทำความดีของเราเว้นไว้แต่เราระลึกไม่ได้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะจิตใจเรามันหยาบมันไม่ละเอียดลึกซึ้งเหมือนจิตใจของครูบาอาจารย์ท่าน

ถ้าจิตใจของเราหยาบนะ เราทำสิ่งใดที่ผิดพลาดไปแล้วนะ ระลึกได้สิ่งนั้นนะ เราก็ตอกย้ำในใจเรา นี่ไง ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังสิ่งได้ยินได้ฟังทุกวันเลย ฟังทุกวันเลยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแล้วไม่พัฒนาตัวเองเลย เห็นไหม ฟังทุกวันเลย พอฟังทุกวันแล้วตอกย้ำๆตอกย้ำหัวใจนี้

อย่างน้อยเราก็ต้องทดสอบก่อนสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเสียสละของท่านมา เป็นพระโพธิสัตว์เสียสละชีวิตเสียสละทุกๆ อย่างมา ดูสิ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดเวลามีการพลัดพรากสิ่งนี้มันสะเทือนหัวใจมากนะ เห็นไหม เรามีเป้าหมาย มีโครงการไว้มหาศาลเลย สุดท้ายแล้วมันพลัดพรากจากกันไปสิ่งนั้นเดินต่อไปอีกไม่ได้ มันสะเทือนหัวใจไหม สิ่งที่มันหลุดจากไม้จากมือเราไป มันพลัดพรากจากเราไปมันสะเทือนไหม

ถ้ามันสะเทือน เราทำคุณงามความดีๆ เพื่อประโยชน์กับเราแต่ถึงที่สุดแล้วสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกไม่มีอะไรแน่นอนสักวันหนึ่งมันต้องพลัดพรากไปแน่นอน สักวันหนึ่งที่พลัดพรากไปแน่นอน แล้วเราก็ยังจะจำเจกับมันอยู่อย่างนี้ใช่ไหมถ้าเรามีสติมีปัญญาแล้วอะไรที่เป็นความดีๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนล่ะ

ไฟไหม้บ้านๆ ชีวิตหนึ่งๆกาลเวลามันกลืนกินเราตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราต้องพลัดพรากจากมันไป สิ่งที่เป็นความจริงที่แน่นอนคือต้องพลัดพรากจากกันแน่นอน สิ่งที่เป็นความจริงแน่นอนคือต้องพลัดพรากแน่นอน แล้วก่อนที่จะพลัดพราก เราจะทำอะไรเป็นที่ระลึกถึงกันล่ะ เราทำสิ่งใดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อกันล่ะ เห็นไหม นี่เขาเห็นความดีที่ละเอียดกว่า ความดีที่ละเอียดกว่า เราจะมีสิ่งใดระลึกถึงกัน เราจะมีสิ่งใดที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน เราทำอะไรเพื่อประโยชน์กับเราๆ

ถ้าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าพรุ่งนี้มันมี วันนี้มันมี พรุ่งนี้มันก็ต้องมี ชาตินี้มีชาติหน้ามันก็ต้องมีไง ถ้าชาตินี้มี ชาติหน้ามันมี ชาตินี้เราทำสิ่งใดที่ไม่ประสบความสำเร็จ ชาตินี้เราทำสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องนะ เราก็สะสมคุณงามความดีของเรา สะสมคุณงามความดีของเราให้มันเป็นจริตให้เป็นนิสัยขึ้นไป ให้เกิดภพชาติถัดไปเราจะสร้างคุณงามความดีของเราต่อเนื่องไปๆ

ทุกคนที่ประพฤติปฏิบัติส่วนใหญ่จะถามว่า ตายไปแล้วจะไปปฏิบัติต่อเนื่องอีกหรือเปล่า

เวลาชาติปัจจุบันนี้นะ เวลาเราทำของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรามันเป็นจริตเป็นนิสัย ทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นจริตของเรา ให้เป็นความผูกพันในใจของเราเวลาตายไป ไปเกิดชาติใหม่นะ เกิดในประเทศอันสมควรเกิดในพ่อแม่ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ

ไปเกิดที่พ่อแม่เป็นมิจฉาทิฏฐิลำบากทุกข์ยากนะพ่อแม่จะพาไปทางโลกทั้งนั้นน่ะ พ่อแม่ก็จะทำแต่ไปทางโลกไอ้ลูกก็มีความคิดแตกต่างกันไป เวลาไปเกิดในลัทธิศาสนาอื่นขึ้นมามันยิ่งมีความเห็น

ดูสิ เรามีความแปลกใจกันมาก ทำไมฝรั่งเขามาบวชเยอะแยะฝรั่งเขามาบวชเยอะแยะไง ทำไมเขาไปเกิดในประเทศอย่างนั้นล่ะ เวลาเขาจะบวชจะเรียนเขาต้องขวนขวายมาของเขา เขาต้องมีจริตมีนิสัยของเขาแล้วมีจริตนิสัยของเขาแล้วเกิดมาในชาติปัจจุบันนี้เขาเกิดเป็นปัญญาชนเขามีการศึกษานะส่วนใหญ่ที่มาบวชๆส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งนั้นน่ะ เพราะเขาไปค้นคว้าตำรา ไปค้นคว้าแล้วพระพุทธศาสนามันมีเหตุมีผลไง ถ้าเหตุผลอย่างนี้มันลงใจ

กิเลสมันกลัวเหตุกลัวผล เพราะเหตุผลคือธรรมกิเลสมันกลัวธรรมมาก ไม่กลัวอะไรเลย ถ้ามันไม่มีเหตุมีผลมันหัวเราะเยาะอีกต่างหาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรียบง่ายละชั่วทำดี ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว แล้วละอย่างไรล่ะ ทำอย่างไรให้มันละล่ะ

นี่เวลามันละองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนกรรมฐาน ๔๐ห้องไง ทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา ถ้าใจสงบระงับเข้ามา ทำไมถึงต้องสงบระงับล่ะ เพราะความสงบระงับนั้นมันมีสติมีปัญญาพร้อมที่จะทำงานไงแต่ในปัจจุบันนี้เราทำงานเหมือนกันความคิดมันทำงานตลอดเวลา ไม่เคยหยุดหรอก แต่ความคิดอย่างนี้เป็นโลกๆไง ความคิดมันเกิดเกิดจากอวิชชา เกิดจากสัญชาตญาณของเราไง

เพราะสัญชาตญาณทำอะไรก็ยังไม่แน่ใจใช่ไหม ทำอะไรก็มีความผิดพลาดใช่ไหม เราทำความสงบของใจเราเข้ามา ถ้าใจสงบระงับขึ้นมาแล้วมันมีความสุขไง จิตใจที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่จิตใจที่มันวุ่นวายอยู่นี่ ถ้ามันสงบระงับเข้ามาบ้าง เราก็มีเวลาหายใจหายคอถ้าเรามีเวลาหายใจหายคอ เราจะทำอะไรขึ้นมามันก็มีโอกาสใช่ไหม คนหิวคนกระหายทำสิ่งใดมันก็ทำด้วยความบีบบังคับใช่ไหม คนอิ่มหนำสำราญ จิตที่มันสงบคือมันอิ่มในอารมณ์ไง มันอิ่มพอในตัวมันเองไง ไอ้ที่มันหิวมันกระหาย สงสัยไปหมด อยากไปหมดเสวยไปหมด ตะครุบไปหมด อะไรคว้าไปหมด ไฟทั้งนั้น

พุทโธๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้มันอิ่มเต็มของมันไง ของที่มันเต็ม มันสมบูรณ์ของมัน มันไม่ขาดแคลน อะไรผ่านมามันก็คัดก็เลือกใช่ไหมอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นมามันก็ไม่เสวย ไม่ไขว่คว้าทั้งหมดใช่ไหม อะไรที่เกิดขึ้นมันก็มีสติปัญญา“ใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือไม่จริง” มันได้คิดไง มันได้คิด มันได้ยับยั้ง ได้คัดเลือกไง เราจะคิดไหม คิดให้มันเจ็บช้ำน้ำใจใช่ไหม

ถ้าเรามีสติปัญญา จิตสงบแล้วนะ ไอ้นี่มันทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ เอามันมาคิด เอามาคิดเพราะอะไร เพราะจิตมันสงบแล้ว จิตสงบ จิตมันอิ่มเต็มแล้วนะ เอ็งคิดทำไมความคิดนี้เป็นสังขาร ความปรุงความแต่ง สังขารมันเกิดจากอะไรสังขารมันเกิดจากสัญญา สัญญาคือมันซับไว้ในจิต

ดูสิ เวลาโดยอายตนะ ตา หู จมูกลิ้น กาย มันต้องได้ผลกระทบมันถึงมีความรู้สึกใช่ไหม จิตของเราๆ ความสงบในใจของเรา เวลาไม่มีอะไรกระทบมันเลย มันก็ไปล้วงข้อมูลเดิมๆ ในใจมันน่ะ สัญญาๆ ที่มันจำมา สัญญาๆ ที่มันได้กระทบมาไง

แล้วสิ่งใดที่กระทบมาถ้ามันเป็นความชอบ ความชอบก็จริตนิสัย จริตนิสัยเพราะมันเกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติ พันธุกรรมที่มันตัดแต่งมาแต่ละภพแต่ละชาติไง นี่มันเป็นความชอบความเห็นของมัน มันก็ไปล้วงมาน่ะ มันก็ไปล้วงมา ถ้าล้วงมา ถ้าจิตเราสงบแล้ว จิตเราสงบแล้ว สิ่งใดที่ชอบ สิ่งใดที่ผูกพันกับหัวใจ เอามาพิจารณา ถ้ามันจะพิจารณามันพิจารณาอย่างนี้เพราะอะไร เพราะจิตมันอิ่มหนำสำราญจิตมันไม่หิวกระหายจิตมันมีกำลังของมันมันก็พอทำประโยชน์ได้

จิตมันหิวมันกระหาย จิตมันหิวโหย อะไรมามันก็ตะครุบๆ ก็บอก “ก็พิจารณาสติปัฏฐาน๔ ไง ก็พิจารณาสติปัฏฐาน ๔”

สติปัฏฐาน๔ อะไรของเอ็งนั่นน่ะ ดีแต่ปาก มันไม่มีสัจจะความจริงในการกระทำอันนั้นถ้ามีสัจจะความจริงในการกระทำอันนั้นหัวใจดวงใดไม่มีมรรค คือหัวใจดวงใดไม่มีศีล สมาธิปัญญาโดยสัจจะความจริง มันคายออกไม่ได้หรอกมันมีแต่ผูกมัดเข้าไปเพราะมันหิวมันกระหาย

มันหิวมันกระหาย คนมันหิวมันกระหาย คนที่พึ่งตัวเองไม่ได้ มันสะสมหมดล่ะ มันไปกว้านมาหมดล่ะแล้วกว้านไปไหนล่ะกว้านมานี่ตัณหาความทะยานอยากตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง ล้นไม่มีขอบไม่มีเขตไม่มีสิ่งใดที่จะให้มันสมบูรณ์ได้ ไม่มี ไม่มีถมเท่าไรไม่เต็มความคิดถมเข้าไปเถอะ ไม่มีวันจบ

พุทโธๆ เห็นไหม ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคำบริกรรม จบ เต็มเพราะอะไร เพราะสมถะคือสมาธิมันมีขอบเขตของมันขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิก็คือสมาธิไง แต่สมาธิมันอิ่มเต็มของมันถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญามันก็จะเป็นวิปัสสนาญาณไงมันเกิดญาณวิถี มันเกิดความรู้อันประเสริฐ

ประเสริฐตรงไหนล่ะ

ตำราก็คือตำราไง เวลาครูบาอาจารย์สอนก็ครูบาอาจารย์สอนไงเวลามันเกิดในใจของเรามันเกิดอย่างไรล่ะ ถ้าไม่เกิดก็สงสัย “เอ๊ะ! อาจารย์ท่านสอนอย่างนี้ ท่านบอกอย่างนี้ ของเราไม่เหมือนท่านเลย เอ๊ะ! ของเราดีกว่าด้วยนะ ของเรามันแพรวพราวๆ”...แพรวพราวโดยกิเลสไง

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ของท่าน ท่านผ่านมาแล้ว ใครพูดเหมือนทันทีเลย ใครพูด อันเดียวกันหมดเลย

แต่ถ้ามันไม่เคยเห็น ไม่เคยผ่านเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดให้เหมือน พูดให้เป็นไป เป็นไปไม่ได้เป็นไปไม่ได้ ของไม่เคยเห็น ของไม่เคยเห็น ของไม่เคยรู้ไงแต่ถ้ามันรู้มันเห็นขึ้นมา มันเป็นความจริงไง ความจริงอันนี้ไง

นี่ไง สิ่งที่ถ้าไม่มีการกระทำศาสนาไหนไม่มีมรรค คือดวงใจที่ไม่มีการกระทำอย่างนั้นมันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาก็เป็นความจำ ความจำไม่ใช่ความจริง แต่ความจำมันก็จำมาดูสิ การศึกษา การวิเคราะห์วิจัยเกิดจากความจำทั้งนั้นน่ะ เกิดจากข้อมูลของเรา เราจะต่อยอดให้เป็นปัญญาของเรา ถ้าเป็นปัญญาของเรานะปัญญาทางโลกมันก็เป็นทางวิชาการ มันก็เป็นการวิตกวิจารณ์ของเรา เป็นสมบัติของเราลิขสิทธิ์ของเรา

แต่เวลามันเป็นธรรมๆ ขึ้นมามันเป็นธรรมขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันสำรอกมันคาย มันเป็นความจริงขึ้นมา ทีนี้ความจริงขึ้นมา นี่ไงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนง่ายๆ ละชั่วทำดี ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว

ละชั่วทำดีแต่เราไม่รู้อะไรดีอะไรชั่วไง เพราะอะไร เพราะมารยาสาไถยในใจมันหลอกลวงไง เพราะมารยาสาไถยของเราในใจมันว่าอันนี้ดีๆ ถ้าชอบ ดี ถ้าไม่ชอบ ไม่ดี ถ้าเป็นความโลภ ดี ถ้าเป็นทาน ไม่ดี นี่ไง มันเกิดมารยาสาไถยอวิชชา ความไม่เป็นจริงของมันไง

ฉะนั้นทำความดีของเราก็ทำความดีของเด็กๆเนาะ เราก็ระดับของทาน ระดับฆราวาสธรรม เราเป็นนักบวชๆ เขาบอกว่า“ดูสิ โยมเขายังทำบุญกุศลเลย พระไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วพระจะเอาบุญมาจากไหนล่ะ แล้วพระจะเอาอะไรเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจล่ะ”

นี่ไง ศีลสมาธิ ปัญญาไงระดับของทาน ระดับของเรา เรามีสมาธิของเรา ถ้ามันเป็นความจริงในใจขึ้นมามันดีกว่านั้นเยอะแยะเลย เพราะถ้ามันไม่ดีกว่านั้นเยอะแยะ พอจิตสงบแล้วทำไมผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าใจว่าเป็นนิพพานได้ เข้าใจว่านี่เป็นคุณธรรมได้มันมีความสุขของมันไง มันอิ่มเต็มของมัน

ที่ว่าเวิ้งว้างๆก็พูดกันไป ถ้าเวิ้งว้างๆ เวิ้งว้างที่ไหนล่ะ แล้วเวิ้งว้างคืออะไรล่ะ แล้วใครรู้เวิ้งว้างล่ะ แล้วเวิ้งว้างมันเกิดขึ้นมาตั้งอยู่อย่างไร แล้วดับไปอย่างไรล่ะแล้วไอ้ก่อนที่เวิ้งว้างมันมีแต่ความฟุ้งซ่าน มันมีแต่ความทุกข์ ความทุกข์ไปไหนล่ะ แล้วเวลาความทุกข์อยู่กับมัน ความทุกข์ทุกคนรู้จักมันหมดเลย แต่เวลาความทุกข์มันระงับไป มันไม่รู้ระงับอย่างไรหรือความทุกข์ระงับไปแล้วมันเหลืออะไรล่ะ

อ้าว! มันก็เหลือจิตไง ถ้าจิตมันมีสติปัญญามันก็เป็นสัมมาทิฏฐิไงมันก็เป็นสัมมาสมาธิไง มันเหลือจิตไง ถ้าจิตมันขาดสติมันก็เป็นมิจฉาไงเป็นมิจฉามันก็เป็นหัวตอไง มันก็สมาธิหัวตอไง ถ้ามันลึกกว่านั้นก็เป็นภวังค์ไง มันก็ตกภวังค์ไปเลยไง

จิตเหมือนกันจิตอันเดียวนี่แหละคนมีสติปัญญารู้เท่าหรือเปล่า ถ้าคนมีสติปัญญารู้เท่า มันพัฒนาจิตของมันให้เป็นประโยชน์กับจิตของเรา จิตของเราแท้ๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ก็เพื่อเหตุนี้ รื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ มันรื้อสัตว์ด้วยการกระทำด้วยความเพียรของผู้นั้น ถ้าผู้นั้นทำขึ้นมามันก็เป็นความจริงในใจของผู้นั้นเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรียบง่าย ละชั่วทำดี ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว เอวัง